"วันเอดส์โลก (World AIDS Day)"

(สาระ 3 นาที) องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้ วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันเอดส์โลก (World AIDS Day)” เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ การยอมรับ และเข้าใจผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก วันนี้แอดมินจึงขอนำเสนอความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้เข้าใจกันง่ายๆครับ
โรคเอดส์ AIDS เกิดจากเชื้อไวรัส HIV
เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะใช้เวลาในการฟักตัว แพร่พันธุ์ ขยายพันธุ์ และเข้าไปทำลายการทำงานเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างและควบคุมระบบภูมิคุ้มกันโรค ที่คอยควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย
ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ HIV เมื่อติดเชื้อจนการทำงานของเม็ดเลือดขาว และระบบภูมิคุ้มกันต่ำลงจะทำให้เริ่มติดเชื้อต่างๆ ง่ายขึ้น หากไม่รับการรักษา ระดับภูมิคุ้มกันลดต่ำลงเรื่อยๆ จะทำให้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และเริ่มมีอาการจากการติดเชื้อฉกฉวยโอกาสเกิดขึ้น (Opportunistic infection)
ส่วนการรักษานั้น ในกรณีได้รับการตรวจและวินิจฉัยว่าเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยจะเข้าสู่กระบวนการรักษา เริ่มจากตรวจสภาพร่างกาย ตรวจหาการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน ตรวจประเมินระดับภูมิคุ้มกัน เมื่อประเมินเสร็จเรียบร้อยแพทย์ก็จะรักษาตามขั้นตอน
***หากมีการตรวจพบการติดเชื้อ HIV ได้เร็ว ก็จะมีโอกาสในการได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเร็วขึ้นการที่จะเกิดโรคจากภาวะภูมิคุ้ม- กันต่ำ หรือติดเชื้อแทรกซ้อนก็ยิ่งจะต่ำลง ลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย***
คนไทยทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงระบบการวินิจฉัยและรักษา ด้วยยาต้านไวรัสได้ตามสิทธิที่โรงพยาบาลทุกแห่งภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพ หากรู้ว่าตัวเป็นกลุ่มเสี่ยง สามารถดูรายละเอียดได้ตามลิงค์นี้
ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับ ครอบครัว และผู้คนรอบข้างได้อย่างปกติ เมื่อได้รับการวินิจฉัย รักษาอย่างถูกต้องต่อเนื่อง และมีการป้องกันตัว อย่างถูกต้องถูกวิธี
สิ่งสำคัญ คือครอบครัว คนรอบข้างต้องมีความเข้าใจในโรคและการติดต่อ การปฏิบัติตัว คอยดูแลและให้ไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา กินยาตามแพทย์สั่ง ตรวจติดตามการรักษาและรับยาต่อเนื่อง เมื่อรักษาถึงจุดหนึ่ง ภูมิคุ้มกันก็จะปกติ สามารถใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปอย่างมีความสุขได้
NOTE : โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome) AIDS
A = Acquired หมายถึงภาวะที่เกิดขึ้นภายหลัง ที่ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด และไม่ได้ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม
I = Immune หมายถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึงความบกพร่องความเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค ซึ่งมีอาการหลายลักษณะตามระบบต่างๆ ของร่างกาย
FACT : การสวมถุงยางอนามัยนอกจากจะป้องกันเชื้อ HIV ยังสามารถป้องกัน การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่น หนองใน ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และซี เป็นต้น ได้อีกด้วย
ที่มา : ข้อมูลจาก ผศ.ดร. นพ.สัณฑ์ ม่วงน้อยเจริญ รองผอ.รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน